ผมเชื่อว่าแฟนบอลหงส์แดงหลายคนตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาเตะเกมแรกของหงส์แดงกับไบร์ทตัน และคงคาดหวังกับเกมนี้ไว้มากเช่นกัน เพราะช่วงที่พวกเราออกสตาร์ทกันไม่ดีในเกมลีก 6 เกม ใน UCL แพ้นาโปลียับ 4-1 ตอนนั้นแฟนบอลกลุ่มใหญ่ยังรู้สึกเห็นใจนักเตะ เราพยายามเข้าใจนักเตะและโค้ช เราค่อย ๆ ไล่วิเคราะห์ทีละเปราะ ว่าเหตุผลหลัก ๆ คือ ทีมของเราเล่นเกมหนักมาตลอดฤดูกาลที่แล้ว 63 เกม แถมช่วงปรีซีซั่นยังไม่ได้เตรียมทีมดีนักเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ
ส่วนหนึ่งหลายคนอาจจะเชื่อว่าเป็นเพราะเราไม่มีมาเน่ นักเตะจอมทุ่มเทและเล่นเกมรับดีทางฝั่งขวา แต่เราก็เชื่อมั่นว่า ดิอาช และคนอื่นๆ จะทำผลงานได้ในระดับที่ใกล้เคียงได้ เรามีปัญหานักเตะมีอาการบาดเจ็บล้นทีม โดยเฉพาะแดนกลาง เราคิดว่า นูเญช นักเตะใหม่ค่าตัวแพงสถิติสโมสร อาจจะต้องการเวลาในการปรับตัวบ้าง แล้วเราเห็นผลงานที่ดีขึ้นในนัดชนะอาแจกซ์ก่อนพักเบรกทีมชาติ นั่นทำให้เรามีความหวังว่า จุดเปลี่ยนในทางที่ดีกำลังจะกลับมา
แฟนบอลทุกคน กูรู ทุกสำนักต่างก็มองไปในทิศทางเดียวกันว่า การได้พักเบรกช่วงทีมชาติจะเป็นประโยชน์ต่อหงส์แดงมาก อย่างน้อย ๆ ปัญหาที่ไล่มาข้างบนมันจะมีบางส่วนที่ดีขึ้น เราได้ข่าวว่า อาร์ตูร์ขยันซ้อม หั่นวันพักของตัวเอง ลงเล่นกับ U21 เราได้ข่าวว่านักเตะตัวหลักทยอยหายเจ็บกลับมา ไม่ใช่แค่นั้นนักเตะที่ไปรับใช้ทีมชาติต่างก็ทำผลงานได้ดี ทำประตูได้กันหลายคน
ทุกอย่างมันชี้ไปในทิศทางที่ดี และเราก็มองว่า นี่แหละโอกาสที่หงส์แดงเราจะกลับมาเข้ารูปเข้ารอยพอดี หลังจากได้พักเบรกทีมชาติ แน่นอนการเจอทีมไบร์ทตันไม่ใช่ของง่าย พวกเขาทำผลงานได้ดีในฤดูกาลนี้ อยู่อันดับที่ 4 ก่อนเจอเรา แม้พวกเขาจะเพิ่งเปลี่ยนโค้ชก็ตาม และแม้จะมีสถิติบอกว่า บอลเปลี่ยนโค้ชแล้วมาเจอเรา เราชนะ 100 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้น ไม่มีแฟนบอลคนไหน ด้อยค่าไบร์ทตัน และเราคิดว่ามันจะเป็นงานที่ยากแน่นอนในการรับมือกับฟุตบอลที่เล่นด้วยระบบที่ดีแบบนี้ แต่ด้วยผลงาน ชื่อชั้นและความทะเยอทะยานของสโมสรหงส์แดงที่ต้องการลุ้นแชมป์ การลงทุนไปในช่วงตลาดซัมเมอร์ ทุกอย่างมันคือความคาดหวังที่ไม่เกินเลยว่า เราต้องชนะทีมไบร์ทตันเท่านั้น ในเกมนี้ที่ได้เล่นในแอนฟิลด์
หันมาดูการจัดทัพนักเตะของคล็อปป์ ก็ทำให้แฟนบอลหลายคนค่อนข้างแปลกใจ คือการส่งคาร์วัลโญ่ลงเล่นก่อนดิอาช เหตุผลที่คล็อปป์ให้ไว้หลังเกมคือ นักเตะชุดที่ลงสำรองวันนั้นส่วนใหญ่เพิ่งกลับจากการรับใช้ชาติและเพิ่งได้ลงซ้อมวันพฤหัสแค่วันเดียว นั่นก็คงเป็นเหตุผลที่ยอมรับได้ แม้คาร์วัลโญ่เองก็กำลังกลับมาจากอาการบาดเจ็บก็ตาม และที่ต้องยอมรับไม่ต่างกันก็คือ คุณภาพทางฝั่งซ้ายยามมีกับไม่มีดิอาชในสนามมันก็ต่างกันจริง
การตามหลังคู่แข่งก่อน 17 จาก 20 เกมล่าสุดมันเป็นสถิติที่ไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่ และมันคงเป็นสัญญาณเตือนที่ส่งเสียงดังตลอดโดยที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะเงียบหาย การตามหลังไบร์ทตันถึง 2 ลูกในระยะเวลาแค่ 17 นาที โดยที่ระหว่างนั้นมีโอกาสโดนยิงอีก 2-3 ลูกที่น่าเข้ามาก ๆ หากไม่ได้อลิสซงที่แบกทีมไว้เกมนี้ หงส์แดงคงเละไม่เป็นท่าเหมือนกัน
โอเค คล็อปป์บอกว่า เกมนี้มันแย่จริง แต่ก็มีข้อดีอยู่บ้างนะ อย่างน้อยเราก็กลับมาทวงคืนได้ และกลับมาแซงเป็น 3-2 มีโอกาสชนะในช่วงท้ายเกม ฟีร์มิโน่ทำผลงานดีต่อเนื่องเกมนี้ก็ยิงไป 2 ลูก เราเห็นว่านักเตะลิเวอร์พูลไม่ใช่ประเภทไม่รู้สึกรู้สา พวกเขาจับมือกันฮึดสู้ได้อยู่
แต่สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ นักเตะหงส์แดงตอนนี้ แทบจะไม่หลงเหลือความมั่นใจอีกแล้ว นี่คือปัญหาเดียวที่ไม่ต้องการคำอธิบายให้ยุ่งยาก เพราะเรามองไปที่สีหน้าแววตาของนักเตะหงส์แดงแต่ละคน เราจะเห็นว่า แววตาของพวกเขาไม่ได้เล่นด้วยสภาจิตใจที่เกินร้อยแบบเดิม
พวกเขาผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเขาก็เริ่มกลัวความผิดพลาด พวกเขาเริ่มไม่อยากวิ่งบางจังหวะ เริ่มมีความรู้สึกเหนื่อยแบบเหนื่อยใจให้เห็นเป็นพัก ๆ การวิ่งซ้อน วิ่งช่วยกัน การไล่เพรส ที่ดุดันมันหายไปหมดเลย นักเตะที่เคยมั่นใจสุดขีด เป็นที่พึ่งให้เพื่อน ๆ ได้อย่างฟานไดจ์ค ตอนนี้กลายเป็นขาดความมั่นใจไปดื้อ ๆ เขาไม่ได้อยู่ในภาวะที่จะ “นำ” เพื่อน ๆ ได้เหมือนเมื่อก่อนเลย เพราะผลงานของเขาเองก็ผิดพลาดเช่นกัน
เทรนท์-อาร์โนล์ด นี่มันชัดเจนมากว่า เขาไม่มีความสุขเลยกับการเล่นเกมรับ เขาตื่นตัวเสมอยามได้เล่นเกมรุก ได้เตะมุม เตะฟรีคิก ได้ทำประตู ได้ยืนอยู่กลางสนาม ยามใดที่ต้องลงมาเล่นเกมรับ การยืนตำแหน่งของเขาผิดเพี้ยนไปหมดเลย นั่นทำให้งานหนักไปตกอยู่กับเพื่อน ๆ ที่ต้องเหนื่อยเพิ่มกว่าเดิมในการลงช่วยแก้ไขเกมรับของเทรนท์ จุดนี้น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ของหงส์แดงแน่ ๆ หากไม่มีการแก้ไขจากเทรนท์หรือคล็อปป์
หลักฐานบนใบหน้าของนักเตะหงส์แดงสาวไปให้เห็นปัญหาเรื่อง “การขาดความมั่นใจ” อย่างชัดเจน คล็อปป์เปรียบเทียบว่า มันก็เหมือนดอกไม้เล็ก ๆ ที่กำลังเบ่งบาน แต่เมื่อมันถูกย่ำ มันก็ยากที่จะกลับมาบานได้อีกครั้ง กล่าวคือ ในเกมกับอาแจ็กซ์ บรรดานักเตะหงส์แดงต่างก็เริ่มดึงความมั่นใจของตัวเองกลับมาได้แล้ว
คล็อปป์มองว่า พวกเราควรจะต่อยอดโมเมนทตั้มอะไรสักอย่างจากเกมนั้นมาได้ คล็อปป์มองว่ามันควรจะเป็นเรื่องของความสม่ำเสมอ แต่พอมีทีมชาติมาเบรกความมุ่งมั่นนั้นอาจจะหายไป แถมมาโดนไบร์ทตันทำลายในเวลาเพียง 17 นาที อีก นั่นอาจจะหมายความว่าในมุมมองของคล็อปป์ การพักเบรกทีมชาติ ไม่ได้ช่วยอะไรหงส์แดงเลย แต่นั่นก็เป็นข้ออ้างไม่ได้ทั้งหมด
สิ่งที่มันหนักหนาและแย่กว่าการแค่คุณเสียความมั่นใจ ก็คือ การที่คุณจมอยู่กับมัน เราเริ่มเห็นสัญญาณบางอย่างจากนักเตะและโค้ช ในการให้สัมภาษณ์ระยะหลัง มันมีมิติของการ “ปลง” มากขึ้น คือการยอมรับว่าทีมมีปัญหาจริง ทีมมีความกดดันจริง ยอมรับว่าเล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานจริง อยู่ในสภาพที่ไม่เต็มร้อยจริง นักเตะไม่ได้เล่นด้วยความสุขเหมือนก่อนจริง
ผมเริ่มสงสัยว่ามันเป็นการยอมรับเพื่อจะกลับมาฮึดสู้ หรือมันเป็นการยอมรับไปแบบนั้น เพื่อแค่จะบอกว่า ไม่ใช่พวกคุณหรอกนะที่รู้ว่าเราเล่นแย่ แม้แต่ตัวเราเองก็รู้ตัวดี ถ้าเป็นอย่างหลังผมว่ามันจะเป็นงานที่หนักหนามากของคล็อปป์ เพราะนั่นหมายถึงว่าบางทีนักเตะอาจจะรู้สึกไม่โอเคกับแนวทางบางอย่างแล้ว
หลักฐานสำคัญบนใบหน้าอีกประการหนึ่งที่เราเห็นได้ทุกเกมที่หงส์แดงเล่นคือ ใบหน้าของคู่ต่อสู้ พวกเขาไม่มีความเกรงกลัวใด ๆ ต่อหงส์แดงอีกแล้ว พวกเขาแค่ไม่แพ้ให้หงส์แดงก็เดินเฉิดหน้าออกจากสนามแล้ว ขณะที่หงส์แดงทำได้แค่ก้มหน้าก้มตา
กี่ทีมแล้วในฤดูกาลนี้ที่เราต้องมาพูดหลังเกมว่า เราต้องยกเครดิตให้คู่แข่งที่เล่นดีมาก ๆ เรายกย่องฟูแล่มว่าเล่นได้ดีมาก ขณะที่ฟูแล่มนั้นแพ้ทั้งอาร์เซนอล สเปอร์ส นิวคาสเซิล พวกเขาก็ไม่ได้เล่นเก่ง แต่ทำไมถึงเก่งแต่เฉพาะกับหงส์แดง เราต้องชื่นชมพาเลชว่าพวกเขาเล่นได้สุดยอด ทั้งที่พวกเขาแพ้อาร์เซนอล แพ้แมนซิตี เสมอเบรนท์ฟอร์ด
มันไม่ใช่ว่าเราไม่ควรชื่นชมคู่แข่งที่เล่นได้ดี แต่มันหมายความว่าอย่างไรหรือ หมายความว่า จากนี้หากหงส์แดงทำผลงานไม่ดี เราก็แค่ยกความดีความชอบให้คู่แข่งแล้วจะผ่อนหนักเป็นเบาได้หรือ เวทีนี้มันคือการแข่งขัน และหงส์แดงคือทีมที่เคยทำให้คู่แข่งไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ต้องสีหน้าถอดสีก่อนแข่ง ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเขามายิ้มแฉ่งในสนามแบบนี้