มันคือสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง

คนโบราณว่าไว้ การเปลี่ยนผันฤดูกาลจากฤดูฝนสู่ฤดูหนาว เป็นเรื่องของลมเปลี่ยนทิศที่กำลังจะพัดจากตะวันตกเฉียงใต้ที่มีความอบอุ่นเพราะใกล้เส้นศูนย์สูตรกว่ามาเป็นตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดความเย็นมาจากขั้วโลกเหนือ ก่อนจะเข้าหน้าหนาจริง ๆ มันจึงมักจะมี “ลมหนาว” มาเป็นสัญญาณก่อน

อย่างไรก็ตาม “ลมเปลี่ยนทิศ” ไม่ใช่อะไรที่ง่าย ๆ เหมือนเราหันหัวพัดลมให้หมุนไปทิศใดทิศหนึ่งตามแต่ใจเราเอง เพราะกว่าที่ลมตะวันออกเฉียงเหนือจะชนะและนำพาเข้าสู่ฤดูหนาวได้ก็ต้องสู้กับลมตะวันตกเฉียงใต้ของหน้าฝนกันหลายยก จุดสังเกตคือ หน้าฝนปกติฝนจะตกแบบพรำ ๆ แต่หากเป็นช่วงเปลี่ยนฤดู การตกของฝนมักจะมาเป็นมรสุม เป็นพายุ ฝนฟ้าคะนอง

และยิ่งใกล้ช่วงเปลี่ยนฤดูมากเท่าไหร่ความรุนแรงของการปะทะกันระหว่างทิศทางลมก็จะหนักขึ้นเรื่อย ๆ อาจถึงขั้นฟ้าร้อง ต้องผ่านการที่ฟ้าร้องรุนแรง แล้วอากาศก็จะเปลี่ยนฉับพลัน ทำให้รู้สึกถึงความเย็นที่แผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยเรา

ที่ยกเรื่อง ลมเปลี่ยนทิศมาพูดนั้น เพราะผมมองว่าสถานการณ์และรูปแบบมันช่างคล้ายกับสิ่งที่หงส์แดงเผชิญอยู่ คล็อปป์พูดหลังเกมเมื่อคืนอยู่ท่อนหนึ่งที่ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจในเรื่องของการปักหมุดการเปลี่ยนแปลงทีมของคล็อปป์เขาบอกว่า

“บางครั้งคุณต้องเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ…ไม่มีเวลาไหนที่เหมาะสมมากไปกว่านี้อีกแล้วต่อการเปลี่ยนแปลง และมันไม่ผิดเวลา แต่เมื่อคุณเล่นด้วยกันมาหลายเกม คุณจึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ผมรู้ว่ามันง่ายเมื่อคุณชนะตลอดเวลา แต่คุณต้องทำในตอนนี้ และมันเป็นเหตุผลที่เราตัดสินใจ”

หลังจากดูการเล่นของทีมเมื่อคืนผมสัมผัสถึงสิ่งที่เรียกว่า “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” ไม่ใช่แค่ว่าทีมชนะแล้วอยากพูดให้สวยหรูนะครับ ผมเชื่อว่าใครที่ได้ดูเกมเมื่อคืนก็น่าจะสัมผัสถึงมันได้ ผมเคยคิดว่าเกมที่เราชนะอาแจ็กซ์ได้นั่นเป็นสัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่กับเกมเมื่อคืนที่เราชนะเรนเจอร์สได้ 2-0 มันไม่ใช่แค่สัญญาณ แต่มันคือการเปลี่ยนแปลงเลย

อย่างแรกไม่ว่านี่จะเป็นระบบ 4-4-2 หรือ 4-2-3-1 อย่างที่หลายคนยังถกเถียงกันอยู่ก็ตาม แต่แก่นหลักของ 2 แผนนี้ที่เหมือนกันคือ เราเล่นด้วยกองกลางธรรมชาติ 2 คน และเล่นตัวรุกถึง 4 คน นี่คือการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ผมนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าครั้งสุดท้ายที่คล็อปป์เล่นแผนกองกลาง 2 คน เกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่คงจะนานมากๆ อาจจะ 1-2 ปี หรือมากกว่านั้น

เราไม่อาจจะประเมินได้ว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีหรือไม่ดี ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง แต่มันเป็นเครื่องยืนยันได้แค่ว่า ต่อจากคล็อปป์พร้อมแล้วสำหรับการเปลี่ยนแปลงจริง ๆ สักที และนี่คือความชัดเจน เป็นการปักหมุดทางความคิด มันเป็นการย้ำเตือนว่า สายลมจะไม่ย้อนกลับอีก ฤดูกาลแห่งการเปลี่ยนแปลงของหงส์แดงเริ่มต้นที่เกมนี้แล้ว

การเปลี่ยนแปลงประการที่สอง ผมรู้สึกว่าบางช่วง ลิเวอร์พูลเหมือนเล่นระบบหลัง 3 ด้วยซ้ำ คือเทรนท์ลงมาปักหลักอยู่ข้างหลังร่วมกับฟานไดจ์คและมาติปเลย มีเพียงซิมิกาสเท่านั้นที่เติมเกมเยอะมากในคืนนี้ จุดนี้หากมันเป็นการเปลี่ยนแปลงเรื่อของระบบ ต้องถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อีก 1 เรื่องที่เราจะต้องพูดกันอีกยก แต่ก็อาจเป็นเพียงการแก้วิกฤติเกมรับของเทนรท์ ที่คล็อปป์อาจจะกำชับให้เน้นเกมรับมากขึ้นก็ได้

นอกจากกลางสองคนแล้วการมีตัวรุกถึง 4 คนในสนาม ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ ดิอาช ซาลาห์ ประจำสองฝั่งริมเส้น ขณะที่แดนหน้ามีโจตากับนูเญชคอยเล่นด้วยกัน สิ่งที่เห็นคือมิติการเข้าทำที่แปลกใหม่ เราไม่ค่อยคุ้นกับการเล่นเกมรุกที่มีหน้าเป้าที่คอยวิ่งทะลุ วิ่งฉีก วิ่งหาช่อง โดยมีแนวรุกคนอื่น ๆ คอยสนับสุนน

เพราะเคยชินกับหน้าปลอมที่สนับสนุนปีก คนทำเกมรุกจริง ๆ ของหงส์แดงในยุคก่อนคือกองหน้ากึ่งปีกสองข้างที่จะประสานกับหน้าหลอกในการเข้าทำ ผลจากการเปลี่ยนแปลงเมื่อคืนคือ เราเห็นเลยว่า ตัวรุกสี่คนของหงส์แดงวิ่งกันมั่วจนบางจังหวะวิ่งทับไลน์กันเอง โดยเฉพาะในรายของโจตาและนูเญช ที่มีบทบาทเกือบจะเป็นหน้าคู่ด้วยกันแล้ว

มันจึงไม่แปลกที่หลายคนจะมองว่าเกมนี้มีลักษณะของ 4-4-2 มากกว่า 4-2-3-1 เพราะสไตล์การเล่นและบทบาทของโจตา เขามีมิติของการเป็นกองหน้าที่เข้าไปในกรอบเขตโทษด้วย มันก็เลยจะทับไลน์กับนูเญชได้แน่ ๆ ขณะที่ปีกสองข้างเราเคยชินกับการหักเข้าในก็ยิ่งมีบางจังหวะที่ทับไลน์ วิ่งไม่ตรงช่องกันบ้าง

สำหรับดาร์วิน ผมมองว่าเกมนี้เขาทำได้ดีมาก ๆ ในแง่ของการเล่นเป็นแผน เป็นระบบคือรู้สึกมีมิติการเล่นมากขึ้น เคลื่อนที่ วิ่งทำทางดี ประสานงานกัน โม ซาลาห์ ได้ค่อนข้างดี สิ่งที่ดาร์วินต้องการมากตอนนี้คือ การทำประตูปลดล็อกชนิดที่จะสร้างความมั่นใจให้เขาได้ เขาขาดแค่นี้จริง ๆ หากเป็นประตูสัก 2-3 ประตูที่มาจากการประสานงานกันในแดนหน้า ยิ่งจะทำให้เกมรุกมีความมั่นใจทั้งแผง เสียดายที่เกมนี้เราชนะด้วย 1 ฟรีคิกและ 1 จุดโทษ

ทีนี้การเปลี่ยนมาเล่นกลางสองหน้าสี่มันดีอย่างไรในเกมนี้ สิ่งที่เห็นคือ ลิเวอร์พูลลดภาระงานของกองกลางลงเยอะในการไล่บี้ และเน้นการเพรสแดนบนมากขึ้น กองหน้า 4 คนทำหน้าที่ไล่บอลเพรสทำให้คู่แข่งออกบอลและเจอความกดดันมากที่สุด มันไม่ใช่แค่การมีตัวรุกเพิ่ม ในมิติที่คล็อปป์ใส่ไปคือ เป็นการเล่นเกมรับตั้งแต่แดนบน ทำให้ภาระงานของเกมรับมันลดลั่นลงมาได้เยอะในแดนกลางและกองหลัง

ถ้ายิ่งดูจากฮีตแม๊พการเคลื่อนที่ของ 4 แดนหน้ามันยิ่งชัดเจนมาก เพราะพวกเขาแทบจะไม่ได้อยู่ในกรอบเขตโทษเลย แต่เคลื่อนที่อยู่บริเวณหน้ากรอบเขตโทษพื้นที่ระหว่างหลังกองกลางกับหน้ากองหลังของคู่แข่งและเน้นที่จะเล่นกับพื้นที่บริเวณ ฮาล์ฟสเปช ของทังสองฝั่ง

ถ้าเจาะเข้าไปที่ 2 ผู้เล่นแดนหน้าอย่างโจตากับนูเญชก็จะยิ่งเห็นว่าพวกเขาแทบจะไม่ได้เข้าไปยืนแช่หรือรอโอกาสในกรอบเลย แต่มักจะเคลื่อนที่ตลอดเวลา ออกมาพื้นที่ด้านข้าง หน้ากรอบเขตโทษและบริเวณริมเส้นด้วยซ้ำ ตรงนี้อาจจะช่วยตอกย้ำว่า แม้จะได้นูเญชมา แต่ไม่ได้ตั้งใจจะใช้เป็นหน้าเป้าจ๋า คล็อปป์ยังเน้นไปที่การมีส่วนร่วมกับทีมเป็นส่วนใหญ่ นี่อาจจะเป็นจุดที่นูเญชต้องปรับตัวนาน เพราะเป็นสไตล์ที่ซับซ้อนและแตกต่างออกไปจากที่เขาเคยเล่น

การลดแดนกลางลง 1 คน ไม่ได้เป็นการลดคุณภาพเกมรับหรือการเพรสซิ่ง เช่นเดียวกันการเพิ่มตัวรุกลงไป 1 คนก็ไม่ใช่การเล่นแบบรุกจ๋า แต่แค่ปรับวิธีการเล่นใหม่ หงส์แดงจะไล่เพรสคุณหนักขึ้นจากแดนบน และพร้อมที่จะกระโจนเข้าทำร้ายคุณได้ทุกเมื่อเช่นกัน นี่คือสิ่งที่คล็อปป์อยากจะให้เป็น

คล็อปป์ต้องการให้คู่แข่งอยู่ในแดนของพวกเขาให้มากที่สุด ต้องการให้ทีมคู่แข่งดึงผู้เล่นแดนกลางลงต่ำมาช่วยแดนหลังบ้าง เพื่อไม่ให้ทำเกมสวนกลับหงส์แดงมาง่าย ๆ หรือเร็วนัก ที่จะทำให้แผงแดนกลางและแผงหลังของทีมเจองานยาก

อย่างไรก็ตาม แผนนี้เพิ่งจะผ่านการซ้อมมาเพียงแค่ 1 เซสชั่น มันจึงยังไม่สวยหรู และหมายความว่ายังมีโอกาสให้พลาดและเรียนรู้กันไปอีกหลายเกม และมันคงต้องให้เวลาอีกสักพัก แต่อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าคล็อปป์กำลังจะลงหลักปักฐานกับระบบนี้เป็นหลักแล้ว และนั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อทีมเจอระบบที่จะใช้

สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงเพิ่งมาถึง เรายังไม่รู้ว่ามรสุมมันหมดไปจริงหรือไม่ เรารู้แค่ว่า ลมมันเปลี่ยนทิศแล้วและมันจะไม่หวนกลับ หงส์แดงจะเดินหน้าด้วยแนวทางนี้เป็นหลักต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม