ลิเวอร์พูลของเจอร์เก้น คลอปป์ เป็นทีมที่ไม่หยุดนิ่งและพัฒนารูปแบบการเล่นของตัวเองเสมอ แม้เราจะเห็นว่า 4-5 ปีที่ผ่านมาคล็อปป์แทบจะไม่ได้เปลี่ยนอะไรมาก แต่ในรายละเอียดการเล่นมันเปลี่ยนไปตลอด เช่น การลดการเพรสซิ่งแบบบ้าคลั่งมาเป็นการเพรสบางจังหวะ การเน้นบอลยาวมากขึ้น การใช้แบ็กเป็นคนทำเกมบุก เป็นต้นฯ
มีผู้คนสังเกตว่าคล็อปป์มักจะปรับการเล่นไปตามศักยภาพของนักเตะในทีมที่มี หลายครั้งเราจึงได้ยินคล็อปป์พูดบ่อย ๆ ว่าเขามั่นใจในนักเตะที่เขามี ปีนี้หงส์แดงมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องตัวผู้เล่นจำนวนมาก การเสียมาเน่ โอริกี และได้นูเญชกับคาร์วัลโญ่มา ทำให้หลายคนเริ่มจับตาการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
ทุกคนมองไปที่แบบฟอร์มการเล่น ว่าเป็นไปได้ไหมที่คล็อปป์จะหันมาใช้หน้าเป้าแบบจริงจังในระบบ 4-2-3-1 แบบที่เขาเคยใช้ที่ดอร์ทมุนด์และปั้นกองหน้าอย่างเลวานขึ้น แต่จากการสังเกตรูปแบบการเล่นของคลอปป์ทั้งที่ผ่านมาและ แม้แต่ในเกมที่ส่งนูเญชลงสนามหลายครั้ง ผมกับสังเกตว่า ระบบการเล่นของทีม ไม่ไดจะเข้าใกล้ 4-2-3-1 แบบต้นฉบับเท่าไหร่ แต่มันกลับไปคล้ายระบบ 4-4-2 ซะมากกว่า
ในที่สุดมันก็มาชัดเจนในเกมกับเรนเจอร์ส ในรอบแบ่งกลุ่ม UCL ที่ผ่านมา จริง ๆ คนจะเถียงกันว่าตกลงคือ 4-2-3-1 หรือ 4-4-2 กันแน่ แต่ทั้งคล็อปป์และเทรนท์ก็ออกมาพูดตรงกันว่ามันคือ 4-4-2 ฉะนั้นวันนี้ผมเลยจะพามาจับตาดู 3 เหตุผลที่หากคลอปป์จะเลิกใช้ 4-3-3 คลอปป์จะหันมาใช้ ระบบ 4-4-2 เป็นระบบหลัก มากกว่า 4-2-3-1
เมื่อ 4-3-3 ถูกล่า
เกมรุกของฟุตบอลส่วนใหญ่ในปัจจุบันเน้นรูปแบบของการเข้าทำแบบ “ประสาน” มากขึ้น ระบบ 4-3-3 ที่สามตัวรุกด้านบนต้องทำงานประสานกันได้ แต่ลิเวอร์พูลของคลอปป์สร้างความแตกต่างในการใช้งาน 3 ประสานแดนหน้า คือพวกเขาเลือกที่จะไม่มีกองหน้าสไตล์ “หน้าเป้า” อยู่ในแผนเลย เน้นใช้ระบบหน้าหลอก และไม่มีหน้าเป้าเกือบ 6 ปี อาจจะมีใกล้เคียงก็ตอนที่ส่งโอริกี้ลงมาเล่นบ้าง
หลายคนถามว่าในเมื่อระบบเดิมทั้งเวิร์คและดูดี เหตุใดคลอปป์ไม่พยายามสานต่อแนวทางการเล่นแบบนี้ รักษาระบบนี้ แล้วหานักเตะที่เล่นเข้าระบบมาเติม แต่กลายเป็นว่า ทีมลงทุนซื้อกองหน้า สไตล์ ตัวจบ ยืนค้ำ ปักหลัก เข้าฮอต อย่าง ดาร์วิน นูเญช เข้ามา และมีแนวโน้วว่า คลอปป์เองก็อาจจะต้องปรับวิธีการเล่นในแดนบนใหม่เช่นกัน เพื่อให้การเล่นของทีมมันเข้ากับสไตล์การเล่นของนักเตะด้วย
ไม่ใช่ว่าคล็อปป์ไม่พยายามยื้อระบบเดิมที่ทำมานะครับ เราเห็นได้เลยว่า 7-8 เกมที่เล่นคล็อปป์ยังเซ็ตระบบเป็นกองกลาง 3 คน มาเสมอ กระทั่งในเกมที่ชนะเรนเจอร์ช่วงท้ายเกมที่ส่งเอเลียตต์กับมิลเนอร์และฟีร์มิโน่ลงมาก็ชัดเจนว่ากลับไปเล่นกลาง 3 คน
3 ประสานของคลอปป์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อพวกเขาเป็นฝ่ายล่า การไล่เพรสแดนบน ฟีร์มิโน่ลงมาล้วงบอลแดนกลาง สร้างโอกาสให้เพื่อนสองข้างที่จะเติมเข้ามาประสานกันอยู่ตลอดเวลา ในยามที่คุณสวนกลับเร็ว ในยามที่คุณครองบอล ครองเกม กดดันคู่แข่งได้เรื่อย ๆ ที่สำคัญคือ คู่แข่งต้องรู้สึกว่าทำได้แค่ตั้งรับ และปล่อยให้คุณขึงเกมใส่พวกเขาไปตามสบาย
แต่มันจะไม่ค่อยเป็นผล เมื่อทีมของคุณเป็นฝ่ายถูกล่า หรือ จำกัดวิธีการล่าของคุณให้ไม่ถนัด นั่นคือสิ่งที่ฟุตบอลทีมอื่น ๆ ตอบสนองเวลาเจอหงส์แดง เมื่อกุนซือยุคใหม่ ต่างก็เรียนรู้การ เพรสซิ่ง การวิ่งไล่ การเล่นบอลกับพื้น ขณะที่กุนซือแบบเก่า ๆ เริ่มล้มหายและวางมือกันไป
ลองย้อนกลับไปตรงจุดเริ่มต้นที่คลอปป์มาคุมทีม มีกี่สโมสรกันที่เล่นฟุตบอลสไตลเพรสซิ่ง บีบเร็ว โดยเฉพาะสไตล์เพรสแดนบน แล้วลองดูว่าปัจจุบันมีทีมไหนบ้างที่ไม่เล่นสไตล์เพรสซิ่ง กุนซือรุ่นใหม่ล้วนเข้าใจที่รู้จักฟุตบอลสมัยใหม่ต่างตบเท้ากันมาทำงานที่อังกฤษ การเล่นของหงส์แดงไม่ใช่ของแปลก ไม่ใช่ของใหม่ และไม่ได้แตกต่างอีกแล้ว อาจจะบอกว่าโดนจับทางก็ได้ “ฟุตบอลมันทันกันแล้ว” อาจจะเป็นคำสรุปง่าย ๆ ของเหตุผลข้อแรก แตกต่างกันแค่คุณภาพผู้เล่นเท่านั้น
ประเด็นต่อมาคือ ฟุตบอลของคล็อปป์อิงกับผู้เล่นเป็นหลัก ไม่ใช่อิงกับใครคนใดคนหนึ่ง แต่อิงทั้งระบบ แต่ระบบเดิมของคล็อปป์นั้น มีฟีร์มิโน่เป็นแกนกลาง การเกิดขึ้นของระบบ 4-3-3 ของคลอปป์เป็นเรื่องกึ่งบังเอิญ คือ บังเอิญที่เขาเจอฟีร์มิโน่ คลอปป์พูดยืนยันหลายครั้งว่าฟีร์มิโน่คือหัวใจหลักที่ทำให้ระบบ 3 ประสานของหงส์แดงทรงพลังมาตลอด
ไม่ใช่ว่าคลอปป์ไม่เคยคิดจะหาตัวแทนของฟีร์มิโน่ แต่เมื่อยิ่งค้นหาก็ยิ่งพบว่าไม่มีใครแทนเขาได้ในตำแหน่งนี้ เมื่อสังขารและฟอร์มการเล่นของฟีร์มิโน่โรยรา พละกำลังของเขาที่เมื่อก่อนเขาจะเป็นฝ่ายวิ่งล่าคู่แข่ง เขาจะเร็วกว่าคู่แข่ง แต่ตอนนี้ เขาเป็นฝ่ายที่ถูกคู่แข่งวิ่งไล่
พูดให้ชัดก็คือ การที่ฟีร์มิโน่โรยรา ทำให้เราสูญเสียตัวตนในแดนบนไป โดยเฉพาะการไล่เพรสแดนบนที่เป็นจุดเริ่มต้นทั้งเกมรับและเกมรุก เมื่อประกอบกับองคาพยพอื่น ๆ ของทีมอายุโรยราตาม และการที่นักเตะที่ขึ้นมาใหม่ยังไม่ได้ทดแทนแบบแนบสนิท ทำให้ 4-3-3 และวิธีการเล่นบางอย่างที่เป็นพื้นฐานของหงส์แดงทำไม่ได้เหมือนเดิม จากเคยเป็นผู้ล่า ตอนนี้ 4-3-3 ของคลอปป์อาจจะกำลังถูกไล่ล่า
กลาง 2 หน้า 4 เน้นเกมรับ
นี่คือแกนกลางใหม่ของระบบที่คล็อปป์อาจจะกำลังเซ็ตมันขึ้นมา เพื่อให้หงส์แดงสามารถกลับมาเล่นฟุตบอลที่เป็นปรัชญาพื้นฐานของทีมได้ดีอีกครั้งคือการไล่เพรสตั้งแต่แดนบน เล่นเกมรับตั้งแต่หน้าประตูคู่แข่ง ปัญหาอย่างหนึ่งที่เราเจอมาตลอดการเปิดฤดูกาลนี้คือ การที่เทรนท์อาร์โนล์ดโดนเจาะ เราต้องยอมรับข้อนี้ ว่าเป็นปัญหา และเราไม่สามารถให้เทรนท์วิ่งเติมเต็มร้อยได้เหมือนที่เคยทำมา
ประเด็นก็คือในระบบ 4-3-3 เราถ่างกองกลาง 2 คนออกซ้ายขวาเป็นบ็อกทูบ็อก แล้วมีกลางตัวรับ 1 คนปักหลักไว้ ซึ่งมันไม่พอที่จะมาประคองการเติมเกมของเทรนท์ ส่วนเฮนเดอร์สันนั้น การเล่นเป็นกลางขวา เขาจะไม่ได้ทำแค่การประคองตำแหน่งเทรนท์ แต่ยังต้องขึ้นไปเติมเกม เชื่อมเกมกับกองหน้าด้วย นั่นทำให้การวิ่งขึ้นลงของเขามันทำได้ไม่เต็มที่เหมือนเดิม เพราะต้องยอมรับว่ากัปตันก็อายุเยอะแล้ว
ดังนั้นสิ่งที่เราเห็นก็คือการมีกองกลางสองคนลงมาต่ำ มันทำให้กัปตันได้อยู่ใกล้กับพื้นที่ของเทรนท์มากขึ้น และไม่ต้องวิ่งเติมสูงเท่าไหร่ นั่นจะทำให้เวลาที่เทรนท์มีโอกาสเติมจริง ๆ กัปตันก็สามารถประคองพื้นที่ตรงนั้นได้ทันท่วงทีกว่า จุดนี้ในเกมกับเรนเจอร์ส คล็อปป์จึงเลือกตัดฟาบิญโญ่ออก
เพราะการมีกองกลาง 2 คนที่ครองบอลได้ดี อยู่ใกล้กัน และเล่นเกมรับได้ดีอยู่แล้ว ทำให้บทบาทตรงนี้ของฟาบิญโญ่อาจจะน้อยลง ส่วนบทบาทของฟาบิญโญ่จะเป็นอย่างไรในระบบนี้ต้องลองดูต่อไป ยังไงด้วยศักยภาพของเขา เขาน่าจะเล่นได้อยู่แล้ว เพราะก่อนมาลิเวอร์พูลเขาก็เล่น กลาง 2 คนมาตลอด
การใส่ตัวรุกลงไปถึง 4 คน ไม่ใช่เพื่อเน้นการบดขยี้คู่แข่งหรือเติมเกมรุกกันอย่างเดียว แต่มันคือการเพิ่มมิติการไล่เพรสแดนบนที่หายไปคืนมา การมีตัวรุก 4 คนทำให้กองกลางไม่จำเป็นต้องเติมตลอดเวลา เมื่อบอลไปถึงคนใดคนหนึ่ง ในแดนหน้า เราก็มีจำนวนนักเตะมากพอที่จะเชื่อมกัน
4-4-2 เป็นระบบการเล่นยุคคลาสสิก ที่ถูกวิจารณ์ว่าตกยุคไปแล้ว เพราะมีช่องโหว่ แบบที่โยฮัน ครัฟฟ์ เคยบอกไว้ว่า “ถ้าคุณจะเล่นแผนนี้แล้ว ไม่มีความยืดหยุ่นเติมตำแหน่งที่โล่ง มันก็เหมือนคุณไปยืนเป็นกรวยในสนามนั่นแหละ” เพราะแผนนี้เน้นเดิมเป็นการขึ้นเกมทางริมเส้นผ่านปีก 2 ข้าง อาศัยการครอสบอลจากด้านข้างให้คู่กองหน้า แดนกลางมีตัวรับ 1 ตัวรุก 1 เมื่อขึ้นเกมจะเกิดช่องว่างแดนกลางมาก
ย้อนกลับไปในต้นเดือนพฤศจิกายนปี 2020 ลิเวอร์พูลมีคิวต้องออกไปเยือนแมนซิตี เกมนั้นคลอปป์ช็อคแฟนบอลทั้งฝั่งหงส์แดงและเป๊บ ด้วยการนำเอาระบบ 4-4-2 ไปเล่นกับแมนซิตี โดยที่หน้าคู่ตอนนั้นคลอปป์ใช้ซาลาห์กับฟีร์มิโน่ลงเล่นพร้อมกัน กองกลางสองคนใช้ ไวนัล ดุมกับ เฮนเดอร์สัน ปีกสองคนใช้ ดิโอโก โชตา กับ ซาดิโอ มาเน่ และผลก็คือหงส์แดงสามารถมีแต้มกลับมือได้เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่ไปเยือนเรือใบในเกมลีก เพราะสองครั้งก่อนหน้านั้นหงส์แดงแพ้ราบคาบ
อันที่จริงมีการเสนอความคิดเห็นว่าคลอปป์ควรจะใช้ระบบ 4-4-2 ตั้งแต่ปีแรกที่เขาเข้ามารับงานที่หงส์แดงแล้ว ในปีนั้น มีการเสนอว่า คลอปป์ควรใช้หน้าคู่เป็น เบนเทเก้ กับ โอริกี้ และมีปีกเป็นคูติญโญ่กับจอนดอน ไอป์ แต่ระบบการเล่นนั้นก็ไม่เกิดขึ้น จนมาถึงปลายปี 2017 คลอปป์ก็เคยปรับใช้ระบบ 4-4-2 อีกครั้งในเกมที่บุกไปเอาชนะเวสต์แฮมได้ โดยใช้ ซาลาห์กับฟีร์มิโน่ยืนหน้าคู่อีกครั้ง และมาเน่กับแชมเบอร์เลนเป็นปีก มีไวนัลดุมกับเฮนเดอร์สันเป็นคู่กองกลาง นอกจากนั้นเราจะเห็นลิเวอร์พูลของคลอปป์ปรับใช้งานระบบ 4-4-2 หรือ หน้าคู่ อยู่บ่อย ๆ ในระหว่างเกม
นูเญชแกนกลางคนใหม่
ในช่วงปรีซีซั่น เกมที่หงส์แดงต้องเล่นกับซัลส์บวร์ก เป็นเกมแรกที่คลอปป์ส่งนูเญชลงเป็น 11 ตัวจริงของทีม ร่วมกับเด็กใหม่อย่าง เอเลียตต์และคาร์วัลโญ่ เกมนั้นหงส์แดงแพ้ 1-0 และนูเญชก็โชว์ผลงานไม่ดีเอาซะเลย เขามีส่วนร่วมกับเกมน้อยมาก ซึ่งคลอปป์ก็ออกมาอธิบายเองว่า ทีมปล่อยให้นูเญชโดดเดี่ยวเกินไป ไม่ค่อยมีใครส่งบอลให้เขา นั่นเป็นปัจจัยหนึ่งที่อาจจะบอกได้ว่าการวาง นูเญช ไว้เป็นหน้าเป้าแบบโดดเดี่ยว อาจจะไม่เวิร์คสำหรับทั้งนูเญชและการเล่นของหงส์แดง
สิ่งที่เราเห็นนับจากช่วงปรีซีซั่นและเกมแรกในพรีเมียร์ลีกของลิเวอร์พูลก็คือ การประสานงานกันของซาลาห์กับนูเญชในกรอบเขตโทษที่เกื้อหนุนกัน ความสัมพันธ์นี้มันก่อตัวขึ้นในเกมกับไลป์ซิกนั่นแหละ เมื่อทีมได้จุดโทษแล้วซาลาห์มอบหน้าที่ให้ดาร์วินยิง ซึ่งกลายเป็นประตูปลดล็อกให้เขายิงเพิ่มอีก 3 ประตู
ในเกมคอมมูนิตี ชิลด์กับแมนซิตี ก็เป็นอีก 1 เกมที่เราเห็นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เมื่อดาร์วินลงมาเรียกจุดโทษให้ทีมได้และซาลาห์รับหน้าที่ยิงจุดโทษเข้าไป และต่อมาซาลาห์ก็เป็นคนแอสซิสต์ให้ดาร์วินยิงประตู ปิดกล่อง จากนั้นเมื่อหงส์แดงลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีกเกมแรกเราก็ได้เห็นการประสานงานร่วมกันของทั้งคู่อีก เมื่อดาร์วินลงมาแล้วทำประตูได้จากการแอสซิสต์ของซาลาห์ ขณะที่เขาเองก็แอสซิสต์คืนซาลาห์ทำประตูตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จ
ประเด็นก็คือหากให้ซาลาห์หุบไปเล่นเป็นหน้าเป้า เราจะเสียศักยภาพในด้านข้างไปเลย มันอาจจะแลกมาด้วยการที่ซาลาห์จะทำประตูได้น้อยลงในปีนี้ แต่คุณก็ต้องแลกเพราะในเมื่อคุณซื้อนูเญชมาแล้วก็ต้องใช้ให้ถูกวิธี การมีซาลาห์อยู่ด้านข้างมันสร้างอิมแพ็กต่อเกมได้มากกว่า
ฉะนั้นเราจึงเห็นว่าในเกมกับเรนเจอร์ส คล็อปป์ใส่โจตาลงไปเล่นเป็นกองหน้าคู่กับนูเญช เพราะโจตาสไตล์การเล่นแบบกองหน้ามากกว่า โดยเฉพาะสัญชาตญาณการจบสกอร์ เมื่อมีโจตาอยู่ใกล้ๆ นูเญชก็สามารถเคลื่อนที่ได้อิสระมากขึ้น สลับกันเข้าทำ
อีกทั้งการมีฟีร์มิโน่เป็นตัวเสริมในช่วงที่จำเป็นต้องให้นูญชอยู่ในกรอบเขตโทษเยอะ ๆ เขาจะเป็นคนคอยซับพอร์ตโอกาสให้นูเญชมากขึ้น ในระบบใหม่นี้ ทั้งคาร์วัลโญ่และเอเลียตต์จะยังมีบทบาทแน่นอน เพราะพวกเขาเล่นริมเส้นได้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าโอกาสการลงเล่นอาจจะน้อยลงกว่าเดิม
สุดท้ายเราต้องมาดูว่าการเปลี่ยนนี้ชั่วคราวหรือถาวรและมันจะได้ผลดีมากขนาดไหน เกมกับอาเซนอลสุดสัปดาห์นี้ตะพอทำให้เราได้เห็นอะไรชัดเจนขึ้นมาบ้าง เมื่อพวกเขาได้ลงซ้อมร่วมกันมากขึ้น