หากใครตื่นขึ้นมาแล้วเห็นสกอร์ที่หงส์แดงทำ 1-7 คงคิดว่าเมื่อคืนหงส์แดงบุกแหลกทั้งเกมไล่ยำเรนเจอร์สจนไม่ได้พักหายใจ แต่หากใครที่ตื่นมาดูเกมเมื่อคืนจะรู้สึกไปอีกอารมณ์หนึ่ง มันเป็นอารมณ์ 2 ขั้ว คือเรารู้สึกอึดอัดกับฟอร์มการเล่นในครึ่งแรกมาก จากนั้นเราก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้างในครึ่งหลังตอนเรานำ 1-2 และ 1-3
หลังจากนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงชุดใหญ่ เราจะเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัย ในตอนที่ซาลาห์ทำประตู 1-4 ได้ เราก็ยังคิดว่า เป็นประตูปิดท้าย แต่จากนั้นอารมณ์มันจะไต่ระดับขึ้น ๆ รู้สึกถึงประกายบางอย่างจากการเล่นของนักเตะ และมันจบลงที่ 1-7 พร้อมทั้งรอยยิ้มของนักเตะและโค้ชในแบบที่เหมือนทุกอย่างมันได้ปลดล็อกออกมา และสำคัญคือมันทำให้นึกถึงบทสัมภาษณ์ก่อนเกมของคล็อปป์ที่พูดถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้
ครึ่งแรกครึ่งหลัง หนังคนละเรื่อง
คล็อปป์จัดทัพวันนี้ โดยเปลี่ยนถึง 6 ตำแหน่งจากเกมที่ชนะเรนเจอร์สและแพ้อาร์เซนอล โกเมส โกนาเต ฟาบิญโญ่ เอเลียตต์ คาร์วัลโญ่ และฟีร์มิโน่ได้ลงเป็น 11 ตัวจริง ในระบบ 4-4-2 ที่จะมองเป็น 4-2-3-1 ก็ไม่ผิด เพราะจังหวะส่วนใหญ่นูเญชยืนอยู่ข้างหน้าโดด ๆ ส่วนฟีร์มิโน่ถอยลงมาเล่นเป็นฝ่ายสนับสนุนซะมากกว่า แต่ก็ป้วนเปี้ยนแถวหน้ากรอบเขตโทษได้ดี
ครึ่งแรกเหมือนหงส์แดงมีความกดดันจากเกมแพ้อาร์เซนอลตามหลอกหลอน เล่นบอลแบบไม่กล้าเลย เฉื่อยชาทั้งแผง แล้วดันมาโดนยิงนำอีก ก็ยิ่งกดดันกันไปใหญ่ จาก 1-0 จนตอนที่ตีเสมอได้ 1-1 ลิเวอร์พูลเกือบโดน 2-0 หลายจังหวะเหมือนกัน ยังดีที่เรนเจอร์สเองก็จบไม่คมมาก
จนได้ทีเด็ดจากฟีร์มิโน่ที่โหม่งเสาแรกจากลูกเปิดของซิมิกาสเข้าไปแบบสวยงามจริง ๆ ปลุกความเชื่อมั่นขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยก็กู้สถานการณ์ที่เท่ากันกลับมาให้หงส์แดงได้ก่อนเริ่มเกมครึ่งหลัง การกลับลงมาในครึ่งหลังที่สถานการณ์เท่ากัน ทำให้หงส์แดงสามารถค่อยๆ เรียกฟอร์มของตัวเองกลับมาได้
ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องแต่งตัว คล็อปป์หรือใครพูดเปิดใจอะไรกันหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าครึ่งหลังหงส์แดงเล่นได้ดุดัน รวดเร็ว มีความมั่นใจ ประตู 1-2 ที่โกเมสแอสิสต์ให้ฟีร์มิโน่คือการเข้าทำแบบโอเพ่นเพลย์ที่เยี่ยมยอดมาก จังหวะมันเปะ ๆ และแม่นยำ มันสะท้อนถึงความมั่นใจของทีมได้อย่างดีมาก
นูเญชกำลังมา
เรียกฟาวล์ได้จนทำให้เทรนท์ได้ยิงฟรีคิกสุดสวย ยิงประตูตีเสมออาร์เซนอล 1-1 และมาทำประตู 1-3 ที่ทำให้หงส์โล่งใจและคล็อปป์สามารถพักตัวนักเตะได้ในเกมเมื่อคืนอีก สะท้อนว่าการได้ลงเล่นสม่ำเสมอช่วยทำให้เขาปรับตัวกับทีมได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จากการลงสนามเป็นตัวจริง 3 เกมหลังสุด มันจึงอดเสียดายช่วงเวลา 3 เกมที่เขาโดนแบนไปไม่ได้ หากไม่เสียตรงนั้นไปป่านนี้เขาคงไหลลื่นกว่านี้แล้ว
สิ่งที่นูเญชทำได้ดีไม่ใช่แค่การทำประตูนะครับ มันยังช่วยทำให้ตัวรุกคนอื่น ๆ ที่เล่นใกล้กับเขาทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย นี่คือประโยชน์จากการวิ่งทำทาง การหาช่อง การดึงความสนใจของกองหลัง มันทำให้นักเตะตัวรุกคนอื่นทำงานได้ง่ายมาก 3 ประตูหลังสุดที่ฟีร์มิโน่ทำได้ก็มาจากการลงเล่นในสนามที่มีนูเญชอยู่ด้วย
ประตู 1-2 ที่ฟีร์มิโน่ทำได้ นี่ชัดเจนเลยว่าการวิ่งของนูเญชมีประโยชน์อย่างมาก นักเตะแนวรับถึง 2 คนต้องวิ่งตามประกบนูเญช และเปิดช่องให้โกเมสแอสซิสต์ได้ง่ายขึ้น ทำให้ฟีร์มิโน่มีพื้นที่ได้สลัดจากแนวรับเข้าฮอสได้เฉียบคมขึ้น นี่ถ้าได้เล่นด้วยกันอีกนาน ๆ ชนะไปเรื่อย ๆ เชื่อว่าแดนหน้ามันจะดีขึ้นๆอีก
จากหลังพระสู่หน้าเวที
เราจะไม่ชมฟีร์มิโน่ไม่ได้เลย นักเตะที่เคยชื่อว่าเป็นคนที่ปิดทองหลังพระให้เพื่อน ๆ มาตลอด 4-5 ปี เป็นคนที่ทำงานหนัก สร้างโอกาสให้เพื่อนเสมอ มาปีนี้เขาออกจากหลังม่านแล้วออกมาแสดงหน้าเวทีเพื่อจะบอกว่าเขาเองก็สามารถเล่นได้นะ ทำได้นะ จากที่ปั้นคนอื่นมานาน ตอนนี้เพื่อน ๆ อาจจะต้องปั้นเขาบ้างแล้ว
ในวันที่ฟีร์มิโน่ระเบิดฟอร์มกับบอร์นมัธทุกคนยินดี แต่ยังมีคำถาม แต่หลังจากนั้นเขาพิสูจน์ตัวเองขึ้นเรื่อย ๆ ว่า เขาคือนักเตะที่จะมาช่วยให้หงส์แดงผลิตสกอร์ได้มากขึ้น 12 เกม 8 ประตู 4 แอสซิสต์ ไม่บ่อยนักที่เขาจะทำประตูได้มากกว่าแอสซิสต์ กลายเป็นดาวซัลโวของทีมและอันดับสามของลีกไปเรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่เราเคยคาดหวังจากฟีร์มิโน่ ปีนี้เขาทำให้เราได้หมดเลย การยิงที่เฉียบคม ทักษะการครองบอล การลงมาไล่บอล การเพรส การเล่นร่วมกันกับเพื่อน ลีลาเร้าใจอย่างการยิงไม่มอง และคืนนี้กับการไขว้ขาแอสซิสต์ให้นูเญชอย่างเหนือชั้น ตอกย้ำว่าตอนนี้ฟีร์มิโน่มีความมั่นใจขนาดไหน
ซาลาห์-โจตา
คล็อปป์ส่งซาลาห์ลงมาในนาทีที่ 68 และส่งโจต้าลงมาในนาทีที่ 73 จากนั้นอีก 2 นาทีโจตาก็จัดการแอสซิสต์ให้ซาลาห์ทันที ลูกนี้อาจมีความไม่ตั้งใจบ้างจากการปั้มบอล แต่ก็เป็นทางบอลที่ดีของโจตา แต่ลูกที่สองและสามที่โจตาแอสซิสต์ให้ซาลาห์นี่มันแสดงถึงการเล่นที่เข้าขารู้ใจกันมาก
รวดเร็ว แม่นยำ และทำให้ซาลาห์ไม่ต้องแต่งบอลนานก็เข้าทำได้ทันที แอสซิสต์ที่สองมันเริ่มจากติอาโกกัดบอลได้แล้วจ่ายเร็วให้โจตา โจตาก็แปะจังหวะเดียวให้ซาลาห์วิ่งสอดไปยิงประตูทันที แอสซิสต์ที่สามเขาเก็บบอลไว้กับตัวตรงหน้ากรอบเขตโทษ รอจนซาลาห์เติมมาพื้นที่ว่างก็เปิดให้ทันที
ส่วนซาลาห์เกมนี้ได้ลงเป็นตัวสำรองก็จริง แต่การได้ลงมาในพื้นที่ใกล้ประตูมากขึ้น ทำให้เขาสามารถทำแฮททริกได้เร็วที่สุดในรายการนี้ที่ 6 นาที 12 วินาที ตอกย้ำว่าบางทีฟอร์มการเล่นของเขาอาจจะไม่ได้ตก เพียงแต่ด้วยระบบและตำแหน่งการเล่นที่เขาต้องถอยห่างจากประตูต่างหาก
การทำแฮตทริกของซาลาห์เกมนี้ที่ลงมาเป็นกองหน้าในแง่หนึ่งสร้างความมั่นใจให้นักเตะแน่ แต่อีกแง่หนึ่งคือคล็อปป์จะมีเรื่องให้คิดให้ตัดสินใจอีกเยอะกับการใช้งานเขาอย่างไร แต่โดยรวมตัวรุก 4 คนวันนี้ไม่ว่าใครลงมาคู่ใครต่างก็ทำผลงานได้ดีเยี่ยม การที่ดิอาชหายไป มันก็เหมือนบังคับให้ โจตา,ฟีร์มิโน่,ซาลาห์, และนูเญช ลงเล่นพร้อมกันไปในตัว
โกเมส-เฮนเดอร์สัน-ฟาบิญโญ่
การที่โจ โกเมส ได้ลงเล่นในตำแหน่งแบ็กขวา แล้วทำแอสซิสต์ได้ในวันนี้ มันอาจจะสร้างการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในแดนกลาง เพราะการที่โกเมสอย่างน้อยเกมรับของเขาไม่แย่ การยืนตำแหน่ง การเข้าบอล การสกัด ยังทำได้ในระดับที่ดีกว่าเทรนท์
คำถามก็คือ ในเมื่อตอนนี้เกมรุก 4 ตัวด้านสามารถเล่นเข้าขากันได้ดี ลิเวอร์พูลยังจำเป็นต้องอาศัยแบ็กสองข้างในการเป็นตัวสร้างสรรค์เกมรุกอีกไหม นี่จะกลายเป็นวาระแห่งชาติของหงส์แดงในเวลาอันใกล้นี้ หากแดนหน้ายังทำผลงานได้ดี โดยไม่ต้องการโวเวอร์โหลดมาช่วยมากจากแบ็กสองข้าง
เรื่องนี้มันจะกระทบต่อบทบาทหน้าที่ของแดนกลางด้วย หากไม่เอาแบ็กบุกขึ้นเหมือนเดิม กองกลางอาจจะไม่ต้องทำหน้าที่คอยวิ่งลงมาประคองตำแหน่งก็ได้ หมายความว่าไม่จำเป็นต้องให้เฮนเดอร์สันลงทุกนัดก็ได้ เราอาจจะต้องการกองกลางที่เล่นเกมรับได้ดีอย่างฟาบิญโญ่ในสนามมากว่า
และเกมนี้ฟาบิญโญ่ก็กลับมาลงเป็นตัวจริงอีกครั้ง นับตั้งแต่คล็อปป์เปลี่ยนมาใช้ระบบกลาง 2 คน หลังจากที่เปลี่ยนเอาติอาโกลงมา มันยิ่งชัดว่าแดนกลางมันดูแน่นขึ้น จังหวะดักบอล เข้าบอล ของฟาบิญโญ่ดูดีขึ้นกว่าตอนที่เล่นกับเฮนเดอร์สันมาก น่าสนใจจริง ๆ ครับว่าเกมกับซิตี เฮนเดอร์สันหรือฟาบิญโญ่จะได้ลงก่อนกัน
สิ่งดีที่สุดที่เราทำได้
อย่างที่เกริ่นไว้แต่ต้นว่าหลังจากดูเกมนี้ ผมรู้สึกถึงประกายบางอย่างจากการเล่นของนักเตะ มันเลยทำให้นึกถึงบทสัมภาษณ์ก่อนเกมของคล็อปป์ที่เป็นประเด็นดรามากับนักข่าวและพาดพิงไปถึงฮามันด์ด้วย คือ นักข่าวพยายามจะบอกว่า ตอนนี้ทีมของหงส์แดงคงหมดไฟและหาเชื้อไฟหรือประกายไฟไม่เจอ
คำว่า “Spark” ที่นักข่าวเอามาจี้ใจดำของคล็อปป์นี่แหละที่ผมเห็นและรู้สึกถึงมันได้ อาการของหงส์แดงหลังจบเกมกับอาร์เซนอลเราเหมือนคนที่สลบไปหัวใจเหมือนจะหยุดเต้นแล้ว เราจึงต้องการปั้มหัวใจด้วยการใช้กระแสไฟเข้าไปกระตุ้น นั่นแหละคือสิ่งที่นักข่าวต้องการจะสื่อ ลิเวอร์พูลกำลังมองหาอะไรสักอย่างไป Spark หรือกระตุ้น
แต่สำหรับคล็อปป์มองว่าเรื่องนั้นไร้สาระ เพราะต่อให้ลิเวอร์พูลชนะอาร์เซนอลได้ ก็ไม่ได้แปลว่าปัญหาที่หงส์แดงมีจะหมดไป และเกมกับอาร์เซนอลมันมีปัจจัยภายนอกอย่างกรรมการมาเกี่ยวข้องด้วย มันจึงตัดสินอะไรหรือพูดอะไรไม่ได้มาก สำหรับคล็อปป์สิ่งที่เราทำได้หรือสิ่งที่จะพิสูจน์ได้ว่าหงส์แดงยังอยากตื่นขึ้นมาหรือไม่ไม่ใช่การปั้มหัวใจ
แต่เป็นการที่หัวใจคุณนั่นแหละยังสู้หรือเปล่า ต่อให้เอาเครื่องปั้มที่ดีที่สุดมาปั้ม หากใจคุณไม่สู้มันก็กู้ได้ชั่วคราว ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ และน่าจะทำได้ดีที่สุดตอนนี้คือ ใจเราต้องสู้ก่อน คล็อปป์บอกว่า “สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ พยายามสู้ต่อไป และนั่นคือสิ่งที่เราทำ ซึ่งใครก็เห็น เราสู้กับอาร์เซน่อลเต็มที่ คืนพรุ่งนี้เราจะทำอย่างนั้นด้วย เพราะเราต้องสู้ เพราะต้องเจอเรนเจอร์ส”
“เราอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก แต่เป็นอะไรที่ท้าทาย เราเจอความท้าทายตลอดเวลา แต่เราลุย พุ่งชน ผมเสียใจด้วย สำหรับคนที่คาดหวัง หลังจากฤดูกาลที่แล้ว เราต้องทำได้ดี โบยบิน ลุ้นความสำเร็จทุกรายการ ตอนนี้ มันไม่ใช่แบบนั้น ผมสัญญาไม่ได้เหมือนกันว่า พรุ่งนี้เราจะโบยบิน (ทำได้ดี) แต่เราจะสู้ อันนี้แน่นอน จนกว่าจะมีใครสักคนบอกเราว่า การต่อสู้สิ้นสุดแล้ว เราสัญญาได้แค่นี้”
ใช่แล้วครับสิ่งที่ผมเห็นในเกมนี้หรือแม้แต่ในเกมกับอาร์เซนอลคือ นักเตะเรายังสู้ พวกเขายังไม่ยอมแพ้ ยังไม่ยอมนอนเป็นผักให้คนย่ำ และคืนนี้มันก็ตอกย้ำว่าพวกเขายังสู้จริงๆ แม้จะมีอาการเมาหมัดไม่สร่างในครึ่งแรก แต่พอพวกเขาหาโมเมนตัมของเกมเจอ พวกเขาก็ลุยทันที
ไม่ง่ายเลยที่เราจะเป็นคล็อปป์ยิ้มร่าเริงได้ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ง่ายเลยที่จะเห็นโมมนท์น่ารัก ๆ ของซาลาห์ที่เข้าไปช่วยเอเลียตต์ลุ้นประตูช่วงท้ายเกม ผมไม่รู้ว่าข้างในนั้นมันมีปัญหาอุปสัคอะไร แต่ตราบใดที่ยังเห็นนักเตะสู้ โค้ชสู้ กูแฟนบอลก็จะสู้ไปด้วยคน