6 การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของหงส์แดงหลังชนะเรือใบ

ภายหลังจากที่หงส์แดงเปิดบ้านเอาชนะแมนซิตีได้ 1-0 เมื่อสองวันก่อน แฟนบอลหลายคนคาดหวังว่าเกมนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนในการพาทีมหงส์แดงกลับมาเป็นทีมที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง หลังจากฟอร์มออกทะเลมานาน แม้หลายคนอาจจะยังอดสงสัยไม่ได้ว่า มันจะเป็นจุดเปลี่ยนของหงส์แดงจริง ๆ หรือ แต่ก็ไม่มีใครปฎิเสธว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงทีดีเกิดขึ้นจริง และนี่คือ 6 การเปลี่ยนแปลงที่ดีที่เรานำมาบอกเล่าสู่กันฟัง

ระบบเปิดมากขึ้น

คล็อปป์เริ่มเปลี่ยนแผนการเล่นจาก 4-3-3 มาเป็น 4-4-2 อย่างจริงจังก็เมื่อเกมพบกับเรนเจอร์สนัดแรกในรายการ UCL ต่อด้วยการแพ้อาร์เซนอล และกลับไปชนะเรนเจอร์สอีกครั้ง นั่นทำให้หลายคนคิดว่าเกมกับซิตีนั้นคล็อปป์ก็จะใช้แผน 4-4-2 เช่นกัน แต่กลับกลายเป็นว่าในเกมกับซิตีนั้นคล็อปป์ใช้แผน 4-3-3 และ 4-2-3-1 มากกว่า

โดยการเอาเอลียตต์ลงเล่นเพื่อปรับแผน 4-3-3 และ 4-2-3-1 ได้อย่างยืดหยุ่น ขณะที่ดาร์วิน ที่ทำประตูมา 2 เกมติดต้องนั่งพัก แถมยังส่งซาลาห์ลงเป็นกองหน้าคู่กับฟีร์มิโน่และดาร์วินในครึ่งหลังอีก นั่นหมายความว่าจากเดิมที่เราคิดว่าคล็อปป์จะยึดเอา 4-4-2 เป็นหลัก ก็อาจจะไม่ใช่

ทำให้นึกถึงบทสัมภาษณ์ของคล็อปป์ก่อนเกมกับเรนเจอร์สนัดแรกที่เขาบอกว่าต่อไปนี้ คล็อปป์จะไม่สนใจแล้วว่าจะต้องเล่นด้วยระบบใดระบบหนึ่งเท่านั้น แต่หากระบบไหนมันเข้ากับทีมและแผนการเล่นก็พร้อมจะใช้แผนนั้น ในแง่หนึ่งมันทำให้คู่แข่งเดาทางคล็อปป์ได้ยากขึ้นแน่ ๆ และมันยังช่วยให้คล็อปป์สามารถพลิกแพลงได้เวลานักเตะบาดเจ็บจะได้ไม่ส่งผลต่อทีมากนัก

เอเลียตต์พัฒนาอีกขั้น

เอเลียตต์เริ่มต้นซีซั่นด้วยการเป็นตัวหลักแดนกลางในระบบ 4-3-3 ก่อนที่ฟอร์มของเขาจะค่อย ๆดรอปลง โดยเฉพาะการที่ทีมเจอปัญหาเกมรับทางฝั่งขวาบ่อย ๆ ที่เขาเองก็มีส่วนร่วมด้วย จนเอเลียตต์โดนดรอปไปตั้งแต่เกมกับไบร์ทตัน กระทั่งเขากลับมาลงเป็นตัวจริงอีกครั้งในเกมชนะเรนเจอร์ส 1-7 ต่อด้วยเซอร์ไพรส์น่าดูในเกมกับซิตีที่ผ่านมา

การกลับมาครั้งนี้ของเขาสร้างความแปลกตาไปอย่างหนึ่งคือ เราเล่นเกมรับได้ดีขึ้น จากเดิมที่มีลูกขยันทุ่มเทอยู่แล้ว ข่าวจากวงในของหงส์แดงระบุว่าเอเลียตต์เข้าครอสติวเข้มกับเป๊บ ลินเดอร์ส มือขวาของคล็อปป์สำหรับการปรับปรุงเรื่องการเล่นเกมรับโดยเฉพาะ

หากเอเลียตต์กลับมาแล้วสามารถยึดตำแหน่งตัวจริงได้ ก็น่าสนใจ เพราะจากเดิมที่แดนกลางเราขาดพลังหนุ่มไป ก็จะได้พลังตรงนี้เพิ่มเข้ามา และดูจากการเล่นของเขาในเกมกับเรือใบ เขาสามารถเล่นได้ทั้งปีกขวา และสลับไปเล่นปีกซ้ายได้ด้วยในบางจังหวะ

ดูเหมือนว่าคล็อปป์กำลังจะใส่ความอเนกประสงค์ให้กับเจ้าหนูคนนี้ ที่สามารถเล่นได้หลายบทบาทและหลายตำแหน่ง หากเอเลียตต์ตอบสนองมันได้ดี คล็อปป์จะสามารถพลิกแพลง แก้เกมได้ง่าย เพราะทีมสามารถเล่น 4-3-3, 4-4-2, 4-3-2-1 ได้หมดเลย เพียงแค่ปรับวิธีการเล่นของเอเลียตต์คนเดียว

อย่าหวั่นเทรนท์กลับมา

จากที่ลองอ่านความคิดเห็นของแฟนบอลหงส์แดงกลุ่มใหญ่ ผมพบว่าหลายคนรู้สึกไม่วางใจกับการกลับมาลงสนามได้ของเทรนท์ ยิ่งตอนที่เขาลงมาในช่วง 10 นาทีสุดท้าย คนยิ่งหวั่นไหว เพราะเกรงว่าจะโดนเจาะทางขวาเหมือนเดิม เรื่องนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของแฟนบอลได้ดี

แต่ถ้าสังเกตตอนเทรนท์ลงมาเขาไม่ได้มาประจำตำแหน่งแบ็กขวาเหมือนเดิม แต่ลงมาแทนซาลาห์และยืนสูงเหมือนเป็นปีกขวา ซึ่งเรื่องนี้มีการพูดกันมาพักใหญ่แล้วว่า การแก้ปัญหาเกมรับทางฝั่งขวา โดยที่เราไม่ต้องพักงานเทรนท์ก็คือการให้เขาขึ้นมาเล่นเป็นกองกลางหรือปีกซะ ก็น่าสนใจว่าวิธีใช้งานเทรนท์จะปรับเปลี่ยนไปขนาดไหน

นูเญชกับปีกซ้าย

การที่เขาไม่ได้ลงเล่น 11 ตัวจริงในเกมกับซิตีถือเป็นเรื่องแปลกไม่น้อย เพราะตอนที่ดิอาชเจ็บต้องพักสองเดือน คนก็คาดกันว่า 4 แนวรุกของหงส์แดงจะประกอบไปด้วย ซาลาห์ปีกขวา โจตาปีกซ้าย ฟีร์มิโน่กับนูเญชเล่นเป็นหน้าคู่ แต่เมื่อคล็อปป์ให้ซาลาห์เล่นหน้าคู่กับฟีร์มิโน่ ทำให้เขาต้องนั่งข้างสนาม

ตอนนี้มีโจทย์ใหม่เข้ามาเพราะโจตาก็บาดเจ็บหนัก และต้องพักไม่ต่ำกว่า 1 เดือนพลาดบอลโลกแน่ ๆ แล้ว ขณะที่นูเญชลงมาในครึ่งหลังเขาถ่างตัวเองไปเล่นเป็นริมเส้นฝั่งซ้ายได้ แถมโชว์ลีลาการลากเลื้อยริมเส้นแล้วหลุดเข้าไปยิงประตูด้วย บางที คล็อปป์อาจจะใช้งานนูเญชในตำแหน่งนี้ต่อก็ได้

ฟานไดจ์คกลับมาแล้ว

ฟานไดจ์คคือนักเตะตัวหลักที่ปีนี้โดยวิจารณ์ผลงานมากที่สุดคนหนึ่ง โดยเฉพาะการเข้าสกัดบอลที่ไม่เฉียบขาดเหมือนเดิม ความไวที่หดหาย การเป็นที่พึ่งในเกมรับไม่ค่อยได้ แต่จากเกมกับซิตีเราเห็นว่าฟานไดจ์คเล่นได้เหมือนกับฟานไดจ์คที่เราคุ้นเคย จังหวะทีเด็ดทีขาด การสกัดบอล การวางบอลยาวให้เพื่อน พละกำลังที่ดูแข็งแกร่งขึ้นผิดหูผิดตา

สิ่งที่น่าจับตามองคือ นี่เป็นการกลับมาสู่ฟอร์มที่ดีของเขาแล้วใช่ไหม เรื่องนี้สำคัญครับ เพราะหากฟานไดจ์คกลับเข้าสู่ฟอร์มการเล่นได้จริง ๆ มันคือจุดเปลี่ยนของทีมอย่างชัดเจนแน่นอน ฟานไดจ์คคือหัวใจสำคัญของเกมรับทั้งหมดของทีม

อีกประการหนึ่งคือ เพราะเกมกับซิตีเราไม่ได้ดันขึ้นสูง จึงไม่ค่อยมีจังหวะโดนคู่แข่งวางบอลยาวให้กองหน้าวิ่งหรือกระชากหนี หากเป็นเกมปกติที่หงส์แดงต้องขึ้นเกมบุก ดันกองหลังขึ้นสูง ฟานไดจ์คยังจะสามารถเล่นได้แข็งแกร่งแบบนี้ไหม เรื่องนี้คำตอบรอไม่นาน อีกเกมสองเกมเราก็คงได้รู้กัน

โรเบิร์ตสันทวงตำแหน่ง

นี่ก็อาจจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญคือการที่โรเบิร์ตสันกลับมาลงเล่นได้ หลังจากบาดเจ็บและได้พักไปหลายเกม การกลับมาคราวนี้โรเบิร์ตสันพกฟอร์มที่ดีของตัวเองกลับมาด้วย โดยเฉพาะเกมรับที่ทำให้ทางฝั่งซ้ายของทีมดูแน่นขึ้น บางทีการที่ฟานไดจ์คเล่นได้ดีขึ้นอาจเพราะเขาได้เล่นใกล้กับโรเบิร์ตสันที่รู้เหลี่ยมกันดีมากกว่าซิมิกาสก็ได้

ทั้งหมดนั้นคือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับทีมหลังชัยชนะเหนือเรือใบ ที่ผมอยากชวนให้เพื่อน ๆ จับตาดูกันไว้ การจับตานี้ไม่ได้หมายถึงการจับผิดนักเตะนะครับ แต่เป็นการดูการเปลี่ยนแปลงของทีมแบบละเอียด แล้วมันจะทำให้เราดูบอลสนุกขึ้น เข้าใจสิ่งที่ทีมทำมากขึ้น