คาถาเด็กหงส์ “เข้าใจ ทำใจ โล่งใจ”

หลังจากที่หงส์แดงมอบความสุขคืนมาให้หงส์แดงด้วยการบุกไปชนะอาแจ็กซ์ 0-3 ด้วยการปรับระบบการยืนตำแหน่งใหม่ มาเมื่อคืนหงส์แดงก็คืนความทุกข์ให้แฟนบอลอย่างรวดเร็วด้วยการแพ้ลีสด์ทีมรองบ๊อยคาบ้าน 1-2

เมื่อเข้าใจ

นับเป็นการแพ้คาบ้านในเกมลีกครั้งแรกในรอบ 30 เกม ฟานไดจ์คยุติสถิติไม่แพ้ในบ้านในเกมลีกไวที่ 70 เกมตั้งแต่เขามาเล่นในแอนด์ฟิลด์ ขณะที่หงส์แดงออกสตาร์ท 12 เกมแรกด้วยการเก็บแต้มได้เพียง 16 แต้ม ก็ถือเป็นการเก็บแต้มได้น้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี  2014-2015 ที่ปีนั้นเก็บได้เพียง 14 แต้มจาก 12 เกมแรก และจบซีซั่นด้วยอันดับ 6 เป็นผลงานก่อนที่คล็อปป์จะเข้าในปีถัดไป

มันสะท้อนว่าลิเวอร์พูลที่เห็นและเป็นอยู่นี้ได้ถอยหลังแบบก้าวกระโดดมาก คือกระโดดทีเดียวย้อนหลังกันไป 7-8 ปีเลยทีเดียว และมันก็เป็นสัญญาเตือนว่า ปีนี้การต่อสู้เพื่อท็อป์โฟร์จะเป็นงานที่ยากยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาแน่ ๆ และคล็อปป์ก็ยืนยัยหลังเกมว่า “ฟอร์มนัดนี้เป็นก้าวถอยหลังของเราอย่างแน่นอน”

เทียบผลงาน 12 นัด ปี 2014-2015 กับปีนี้

ในกรณีนี้พอจะมีเรื่องให้มองในแง่ดีบ้างไหม ผมว่ามันมีแง่ดีให้มองค่อยข้างเยอะ สำหรับคนเพื่อใจทัน แง่ดีคือ หาก นี่เป็นการกระโดดถอยหลัง ไปยุคก่อนคล็อปป์จะเข้ามาคุมทีม มันจะไม่ใช่การเริ่มต้นใหม่ซะทีเดียวแบบในยุคนั้น ที่คล็อปป์ต้องค่อยๆ ปะติดปะต่อทีมอีก 2-3 ปีกว่าที่ทีมจะแข็งแกร่ง

กล่าวคือ หากจบฤดูกาลนี้ด้วยอับ 6 เหมือนปี 2014-2015 ในฤดูกาลต่อไปก็อาจจะเป็นการก้าวกระโดดมาสู่จุดที่ลิเวอร์พูลยืนอยู่ใน 2-3 ฤดูกาลก่อนได้ทันที และผลงานนี้ก็คล้ายกับปี 2010/2011 ด้วยการ แพ้ 4 ชนะ 4 เสมอ 4 เท่ากันเปะ

สถานการณ์มันตรงกับสิ่งที่คล็อปป์บอกเสมอว่า ทีมต้องการ “สร้างใหม่” และมันต้องใช้เวลา แต่ด้วยคุณภาพนักเตะหงส์แดงที่เรามีอยู่ตอนนี้รวมทั้งที่เจ็บไม่เจ็บ คล็อปป์สามารถสร้างทีมให้ดี เก่งขนาดไหนก็ได้ หากทีมเราพร้อม เราควรมีนักเตะในแต่ละตำแห่ง ดังนี้

ประตูเราควรมี อลิสซง, เคเลอเฮอร์, เซ็นเตอร์เราควรมี ฟานไดจ์ค, โกเมส, มาติป, โกนาเต้ แบ็กสองข้างเราควรมี โรเบิร์ตสัน, ซิมิกาส, เทรนท์, แรมซีย์, แดนกลางเราควรมี ฟาบิญโญ่, ติอาโก, เฮนเดอร์สัน, โจนส์, แชมเบอร์เลน, เกอิตา, เอเลียตต์, มิลเนอร์ แนวรุกเราควรมี ดิอาช, ซาลาห์, โจตา,นูเญช, ฟีร์มิโน่, คาร์วัลโญ่ นี่ไม่นับว่าปกติทุก ๆ ปีเราจะต้องมีการดันดาวรุ่งขึ้นมาสัก 2-3 คนอีกนะครับ

ปัญหาที่เราเจอและคล็อปป์สรุปได้ดีหลังเกมที่แพ้ฟอเรสต์ 0-1 ว่า “การจะให้ทีมตัวจริงเล่นคลิกกันมันต้องได้ลงเล่นร่วมกันตลอด และในตอนนี้เราทำแบบนั้นไม่ได้ ปัญหามันเริ่มจากอาการบาดเจ็บ จากนั้นปัญหาก็คือคนที่ไม่บาดเจ็บลงเล่นเยอะเกินไป และเมื่อคนที่บาดเจ็บกลับมาก็ต้องลงเล่นเร็วกว่าเดิม”

“จากนั้นเมื่อพวกเขากลับมาเล่น เราก็เจอกับปัญหาอื่น เช่นทีมแพทย์ก็บอกว่าคนนี้เล่นได้ไม่เกิน 20 นาทีบ้าง คนนั้นทำอย่างนั้นไม่ได้บ้าง ในขณะที่เราต้องเล่นในพรีเมียร์ลีกที่ทุกทีมพร้อมฟาดฟันใส่เรา มันจึงกลายเป็นเรื่องยาก”

เรื่องนี้คล็อปป์ก็นำมาพูดอีกครั้งหลังเกมที่แพ้ลีดส์ไปเมื่อคืน 1-2 ว่า “ความเหนื่อยล้าของนักเตะ ส่งผลโดยตรงต่อฟอร์มการเล่นอันถดถอยของทีม นักเตะของเราบางคนเล่นมากเกินไป ฮาร์วีย์ (เอลเลียตต์) ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ และเกมนี้เขาก็ออกสตาร์ตได้ดี แต่ยืนระยะไม่ได้

“ติอาโก้ ก็เพิ่งป่วย ส่วนแดนหน้าก็ใช้ผู้เล่นชุดเดิมตลอด พวกเขา (โมฮาเหม็ด ซาลาห์, โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่, ดาร์วิน นูนเญซ) คือสามกองหน้าที่เราเหลืออยู่ เราจำเป็นต้องสู้กันต่อไป นั่นแหละคือสิ่งที่เราจำเป็นต้องทำ”

ที่เราเห็นคล็อปป์ต้องปรับเปลี่ยนแผนการเล่นบ่อย ๆ ไม่ใช่เพราะจะหลอกคู่แข่ง หรือโชว์ว่าเก๋าเล่นได้หลากหลาย มันไม่ใช่แนวทางของคล็อปป์ผู้ซึ่งต้องการให้ฟุตบอลของเขาสามารถควบคุมให้นิ่งและมั่นคงที่สุด ไม่ต้องเปลี่ยนอะไรมาก การเปลี่ยนบ่อย ๆ ก็แสดงว่าคล็อปป์เจองานยากที่เขาไม่สามารถทำให้แผนการเล่นมันนิ่งได้ จนต้องปรับไปตามสภาพของนักเตะเท่าที่มี

ในยามที่ทีมมีทั้งโจตาและดิอาช คล็อปป์สามารถใช้ระบบ 4-4-2 แบบมีปีกสองข้างได้เต็มที่ แต่เมื่อไม่มีสองคนนี้มันก็จำกัดมากๆ มันจึงต้องเป็น 4-3-3 แบบตอนที่เจอเป๊บบ้าง เป็น 4-2-3-1 บ้าง เป็น 4-4-2 แบบไดมอนด์แบบที่ใช้ในสองเกมล่าสุดบ้าง

เมื่อทำใจ

เมื่อคุณไม่สามารถใช้นักเตะที่ดีที่สุดลงเล่นในแต่ละตำแหน่งได้ คุณก็ไม่สามรถใช้ระบบที่ดีที่สุดลงเล่นในแต่ละเกมได้ คุณก็ไม่สามารถจะเก็บผลงานที่ดีที่สุดในแต่ละเกมได้ เรื่องนี้ผมขอยกตัวอย่างง่าย ๆ เรื่องการที่หงส์แดงถูกขึ้นนำก่อน

อันที่จริงการโดนนำก่อนจะไม่ใช่ปัญหาของหงส์แดงเมื่อสัก 2-3 ปีก่อนได้เลย เพราะต่อให้โดนนำก่อนจริงหงส์แดงก็จะเร่งเครื่อง บดบี้ คู่แข่งไม่ให้หายใจหายคอ จนทำประตูคืนได้และพลิกชนะได้ในที่สุด นี่คือสิ่งที่เราทำได้มาตลอด

เกมเมื่อคืน คู่ระหว่างบอร์นมัธกับสเปอร์ส  ทีมของคอนเต้โดนนำห่างไปก่อนถึง 2-0 จากต้นครึ่งแรกและต้นครึ่งหลัง แต่สเปอรส์ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีกว่า ๆ ในการเร่งเครื่องและพลิกแซงได้ 2-3 เก็บ 3 แต้มได้ในท้ายที่สุด สเปอร์สทำแบบนั้นได้ เพราะพวกเขามีขุมกำลังนักเตะที่พร้อม สำรองตัวจริงอยู่ในระดับเดียวกัน

ในทางกลับกันหากเปลี่ยนเป็นหงส์แดงบ้าง ในฤดูกาลนี้หากพวกเขาโดนคู่แข่งนำก่อน 2 ลูก พวกเขาไม่เคยพลิกกับมาชนะได้เลย แพ้แมนยู 2-1 แพ้นาโปลี 4-1 และทำได้ดีที่สุดคือเสมอกับ ไบทร์ตัน 3-3 เป็นเกมที่หงส์แดงมีช่วงที่พลิกแซงไป 3-2 แต่ก็พลาดโดนตีเสมอ

อย่าว่าแต่โดนำก่อน 2 ลูกเลย โดนนำก่อน 1 ลูก ก็ยังพลิกกลับมาชนะยาก ในพรีเมียร์ลีกปีนี้เราโดนนำก่อน 1 ลูก 6 เกม สามารถพลิกกลับมาชนะได้แค่ 1 เกมคือเกมชนะนิวคาสเซิล เสมอได้แค่ 2 และแพ้ไปถึง 3 เกม นี่คือสถานการณ์ที่หงส์แดงต้องพบเจอ เมื่อสภาพทีมง่อยเปลี้ย

ลิเวอร์พูลปีนี้จึงไม่คงเส้นคงวาอย่างหนัก ตามตารางภาพด้านบน คือผลงานทั้งในลีกและ UCL เรียงต่อกัน ลิเวอร์พูลมีชัยชนะแบบต่อเนื่องเพียง 2 ช่วง แต่ละช่วงก็กินเวลาสั้นมาก ๆ คือ 2 เกม กับ 3 เกมติดต่อกันเท่านั้น ที่เหลือก็สลับแพ้ สลับเสมอ

เมื่อเจาะไปเฉพาะเกมลีก เราก็พบว่า การแพ้ลีดส์เมื่อคืนกลายเป็นการแพ้ติดต่อกัน 2 เกมครั้งแรกในฤดูกาลนี้ และเป็นการแพ้ให้กับทีมบ๊วยและรองบ๊วยเสียด้วย เมื่อมองไปที่เกมนัดถัดไปที่หงส์แดงจะต้องไปเยือนสเปอร์สด้วยแล้ว โอกาสที่จะแพ้ติดต่อกัน 3 เกมก็มีสูง

เรื่องนี้หลายคนอาจจะแย้งว่าถ้าเช่นนั้นทำไมผลงานใน UCL ถึงสวนทางกันละ ในรายนี้หงส์แดงชนะคู่แข่งมา 4 เกมติด และไม่ใช่ทีมบ๊วยที่ไหน แต่เป็นทีมระดับท็อปของแต่ละประเทศทั้งเรนเจอร์สและอาแจ็กซ์ เรายิงไปกว่า 14 ลูกและเสียเพียง 2 ประตูใน 4 เกมนี้ เราผ่านเข้ารอบแล้วแม้จะเหลือเกมกับนาโปลีอีก 1 เกมก็ตาม

เรื่องนี้มันก็อธิบายได้ง่าย ๆ เลยว่า ความกดดันในการลงเล่นบอลยุโรปมันมีน้อยกว่าการลงเล่นในเกมลีกมาก คุณโฟกัสแค่อีก 3 ทีมในกลุ่ม ไม่ต้องไปสนใจผลของกลุ่มอื่น ๆ เลย ขณะที่ในลีก คุณมีสถานการณ์ที่ต้องโฟกัสก่อนแข่งเยอะมาก ผลงานที่ดีของบรรดาคู่แข่งคุณจะบั่นบอนกำลังใจเล็ก ๆ ขณะที่การเล่นผิดพลาดในลีก คุณจะถูกเพ่งเล็ง จับผิด และสับเละเป็นพิเศษ ความมั่นใจในการเล่นเกมลีกจึงลดน้อยถอยลงไปอีก

แม้หงส์แดงจะได้ผู้เล่นที่บาดเจ็บบางส่วนกลับมา แต่ก็เป็นการกลับมาแต่ชื่อ สภาพความฟิต ความต่อเนื่อง มันไม่ได้ตามมาด้วย อย่างโกนาเต้ก็กลับมาได้สักระยะ แต่ก็ยังไม่ได้ลงสนามเลย ติอาโก ตัวหลักที่ปีนี้ไม่เจ็บหนัก แต่ก็เจ็บนิดเจ็บหน่อยต้องพักทีละ 2-3 เกมอยู่เรื่อย ๆ ความต่อเนื่องมันก็ไม่มี

แชมเบอร์เลน, โจนส์, เกอิตา แทนที่จะเป็นตัวสแตนบายให้แดนกลางสูงวัยของเรา ก็ดันเจ็บ ยาวกันตั้งแต่ฤดูกาลยังไม่เริ่ม กลับมาได้สองคนก็ยังคลำหาฟอร์มดีไม่ได้ เกอิตา ยิ่งน่าผิดหวัง ดีใจได้แค่วันซ้อม พอวันแข่งจริงก็เจ็บอีก

ก็โล่งใจ

ตอนนี้ผม ในฐานะแฟนบอลที่รักและเชียร์ทีมทุกเกมไม่ว่าผลงานจะเป็นอย่างไรก็ตาม ผมเริ่มเข้าใจแล้ว สภาพการณ์แบนี้จะอยู่กับลิเวอร์พูลไปทั้งฤดูกาล ไม่ว่ามกราคมจะมีการเปลี่ยนแปลงแค่ไหนก็ตาม เพราะต่อให้มีนักเตะใหม่เข้ามาก็ต้องอาศัยการปรับตัวใหม่

เราอาจจะเห็นนักเตะชุดที่มีอยู่ฟลูทีมหลังบอลโลก โจต้า ดิอาช มาติป ขุมกำลังสำคัญคงพร้อม แต่เราก็ต้องเตรียมใจไว้ล่วงหน้าเลยว่า อาการบาดเจ็บ มันอาจจะเกิดขึ้นกับนักเตะคนหนึ่งคนใดได้เสมอ  เพราะการเริ่มต้นมามันผิดเพี้ยนจากแผนไปหมด

หากเราเข้าใจสิ่งที่ทีมเป็นอยู่จริง ๆ การเชียร์ทีมครั้งต่อไปมันจะปล่อยวางและโล่งใจขึ้นมาก จากเดิมที่หงุดหงิดจะเปลี่ยนเป็นสงสาร จากเดิมที่โกรธจะเปลี่ยนเป็นโอบรักยิ่งขึ้น จากเดิมที่ด่าจะเปลี่ยนเป็นปลอบใจ ให้อภัย

ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินเรื่องประหลาดที่สุดจาก เดอะสเปเชียล วัน อย่างมูรินโญ่ว่า การพาทีมแมนยูจบอันดับสองเมื่อปี 2017-2018 เป็นผลงานการคุมทีมที่ดีที่สุดของเขา เช่นเดียวกัน หากปีนี้เดอะ นอมอล วัน เจเก้น คล็อปป์ สามารถประคองทีมนี้ให้จบท็อปโฟร์ได้ ผมก็จะถือว่าเป็นผลงานการคุมทีมที่ดีที่สุดของคล็อปป์ เช่นกัน