ถอดรหัสความเปลี่ยนแปลง หงส์แดงพื้นหรือยัง

ชัยชนะเหนือแมนยู 7-0 เมื่อสองวันก่อน มันได้สร้างสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่ามันได้ยืนยันสิ่งหนึ่งว่า หงส์แดงของคล็อปป์ได้กลับเข้าสู่ฝั่งอีกครั้งหลังออกทะเลมาไกล เอาความรู้สึกของตัวเองเป็นตัววัด ก่อนเกมกับแมนยู แม้ผลงานของทีมจะกระเตื้องมาสักพัก แต่ยังไม่มีความมั่นใจใดๆ เลยว่าทีมจะกลับมาเต็มที่ ยิ่งการโดนมาดริดอัดคาบ้าน 2-5 ยิ่งทำให้แกว่ง

ก่อนเกมเราก็เห็นอยู่ว่า แมนยูทำผลงานดีขนาดไหน ทุกคนน่าจะคาดเดาออกมาหากเกมนี้ผลการแข่งขันมันตรงกันข้าม มันจะยิ่งซ้ำเติมบาดแผลของทีมตลอดทั้งฤดูกาลที่ผ่านมา การชนะด้วยชัยชนะถล่มทลายขนาดนี้ผมเชื่อว่ามันเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของฤดูกาลไปแล้ว แต่จะถือว่าหงส์แดงผ่านพ้นวิกฤติหรือยัง เราจะลองมาไล่เรียงกันในแต่ละโซน

เกมรับที่ค่อย ๆ กลับมา

หากไม่นับเกมที่เราแพ้ต่อมาดริด 2-5 แต่เกมนั้นหากจะเข้าข้างทีมสักนิดเราก็บอกได้ว่า มันแพ้กันที่จังหวะสุดท้ายและความผิดพลาดส่วนบุคคล หงส์แดงนำก่อนถึง 2-0 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นเลยในการเจอกับมาดริดในยุคคล็อปป์ที่เราจะนำก่อนถึง 2 ลูก

นอกเหนือจากเกมที่เสียไป 5 ประตูให้กับมาดริดแล้ว 5 เกมจาก 6 เกมเราไม่เสียประตูเลย เก็บคลีนชีตได้ 5 นัด ชนะเอฟเวอร์ตัน 2-0 ชนะนิวคาสเซิล 0-2 เสมอพาเลช 0-0 ชนะวูล์ฟ 2-0 ชนะแมนยู 7-0 แสดงให้เห็นว่าเกมรับของทีมเริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง

ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้อลิสซงที่ช่วยเซฟให้ทีมในหลายเกมที่เราควรจะเสียประตูแต่ไม่เสีย การได้ฟานไดจ์คกลับมาไล่เลี่ยกับโกนาเต้ ก็เป็นปัจจัยสำคัญในเกมรับ หากใครสังเกต หลาย ๆ เกมการเล่นของโกนาเต้ พัฒนาขึ้นมาก เขาเริ่มทำในสิ่งที่มาติปทำได้ดีกว่าตัวเองมาตลอดคือ การพาบอลขึ้นหน้า

เราเริ่มเห็นโกนาเต้ กล้าจะลากบอลจากแดนตัวเองเข้าไปในแดนของคู่แข่ง และออกบอลได้แม่น เมื่อเขาทำสิ่งนี้ได้ดีเทียบเท่ากับมาติป จุดเด่นอื่น ๆ ของเขาก็มีแต้มต่อมาติปเล็กน้อย ทั้งความแข็งแกร่ง การเข้าปะทะ การโหม่ง เขาทำได้ดีกว่ามาติปด้วยซ้ำ

สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ การกลับมาอยู่ในฟอร์มที่เริ่มสม่ำเสมอของทั้งเทรนท์และโรเบิร์ตสัน ที่บอกว่าฟอร์มสม่ำเสมอ เพราะนี่ยังไม่ใช่ฟอร์มที่ดีที่สุดของพวกเขา พวกเขาเริ่มสร้างเกมให้หงส์แดงได้ ขึ้นไปมีส่วนกับเกมรุกได้มากขึ้น ขณะที่เกมรับก็ไม่ได้หลวมเหมือนก่อนหน้า

อลิสซง ฟานไดจ์ค โกเมส เทรนท์ ร็อบโบ้ นี่คือ ชุดเกมรับที่ควรจะเป็นกำลังหลักของทีมตั้งแต่ต้นฤดูกาลอยู่แล้ว และน่าจะเป็นกำลังหลักของทีมได้อีกหลายปีเมื่อดูจากอายุ เพียงแต่ปีนี้พวกเขาได้เล่นด้วยกันน้อยเหลือเกิน และการที่พวกเขากลับมาพร้อมหน้า ก็เป็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่ดีมาก ๆ น่าเสียดายที่ปีนี้แบ็กขวาเรายังหาใครมาเบียดมาผ่อนเทรนท์ไม่ได้เหมือนฝั่งซ้ายที่มีซิมิกาสคอยหนุนร้อบโบ้

พ่านพ้นวิกฤติแดนกลาง

ปัญหาแดนกลางน่าจะเป็นจุดที่เซอร์ไพร้ส์แฟนบอลน่าดู ในแง่ที่เราไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาเลย เพราะก่อนเปิดฤดูกาลเรามีนักเตะที่พร้อมเล่นในแดนกลางกว่า 8-9 คน แต่เมื่อเริ่มฤดูกาล นักเตะแดนกลางดันเจ็บเยอะ นักเตะที่คิดว่าจะเล่นได้ก็ดันฟอร์มตก และเริ่มดิ่งลงเหวกันมาเรื่อย ๆ

สุดท้ายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ในช่วง 5-6 เกมที่ผ่านมาต้องบอกว่าแดนกลางของเราเริ่มผ่านพ้นวิกฤติแล้ว  หนึ่งในคีย์แมนที่ช่วยหงส์แดงได้มากในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อคือ สเตฟาน ไบจ์เซติก เด็กหนุ่มที่แจ้งเกิดในช่วงวิกฤตนี้ ชั้นเชิงลูกหนังของเขาไม่ธรรมดา นิ่ง และมีความมั่นใจเกินวัย

อีกหนึ่งคนคือเอเลียตต์ นักเตะเพียงคนเดียวของทีมในตอนนี้ที่ลงเล่นให้หงส์แดงทุกนัด ตลอดทั้ง 38 เกมที่ผ่านมารวมทุกรายการ แม้บางเกมจะได้ลงเป็นแค่สำรองก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มวัย 19 คนนี้แบกผลงานที่เกินตัวไปมาก ทั้งไบค์เซติกและเอเลียตต์เบียดนักเตะรุ่นพี่ รุ่นเก่าหลายคนได้

อีกหนึ่งกำลังสำคัญที่เรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ทันใช้ก็คือ ฟาบิญโญ่ ที่พักหลังเราเริ่มเห็นสไตล์การเล่นที่เหมือนเดิมของเจ้าตัวกลับมา ความแข็งแกร่ง ความแม่นยำ ความมีสมาธิกับเกม ช่วยให้แดนกลางของหงส์แดงลงล็อคมากขึ้น

การถ่ายเลือดใหม่ในแดนกลางนี้ก็ค่อนข้างน่าสนใจ มีช่วงหนึ่งที่เราขาดติอาโกไม่ได้เลย และเขาเองก็ทำผลงานส่วนตัวค่อนข้างดี แต่มันกลับสวนทางกับผลงานโดยรวมของทีม ตอนนี้ทีมไม่มีติอาโกแต่กลับทำผลงานได้สม่ำเสมอกว่า นี่เป็นเรื่องน่าคิดว่าถ้าติอาโกกลับมาเขายังจะเป็นตัวหลักไหม หรือถึงเวลาต้องยอมรับว่า เขาเป็นนักเตะที่เก่งกาจ แต่อาจจะยังไม่ตรงสไตล์หงส์แดง

ในฤดูกาลหน้าเชื่อว่าแดนกลางของเราจะมีการถ่ายเทที่เยอะมาก แชมเบอเลน เกอิตา มิลเนอร์ อาจจะยุติบทบาทของตัวเองกับทีม ขณะที่เฮนเดอร์สันจะถูกโยกไปเล่นบทบาทของมิลเนอร์คือแผนกสนับสนุนทีมมากกว่า ดังนั้น หากแผนการใหญ่ยังคงเป็นจูด หรือใครสักคนที่เป็นนักเตะเกรด A บวกกับ ฟาบิญโญ่ เอเลียตต์ ไบค์เซติก โจนส์ เฮนเดอร์สัน และ ติอาโก ก็น่าจะทำให้แดนกลางหงส์เข้าสู่ยุคใหม่อย่างเต็มตัว

แดนหน้าลงตัว

มีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจ คือ ตลาดหน้าหนาวที่ผ่านมาทำไม ลิเวอร์พูลถึงหอบเงินกว่า 35 ล้านปอนด์ ไปซื้อนักเตะกองหน้าอย่างกักโปมา ทั้งที่ในตอนนั้น แดนกลางน่าจะวิกฤติมากกว่า และมีตัวเลือกน้อยมาก ในแดนหน้า เรามีนูเญช ซาลาห์ คาร์วัลโญ่แล้ว และที่เจ็บ ๆ กันอยู่ก็มีทั้งฟีร์มิโน่ โจตา ดิอาช การนำเอากักโปมา จึงค่อนข้างค้านสายตา

แต่เมื่อค่อย ๆ เห็นวิธีที่คล็อปป์ใช้งานกักโป สไตล์การเล่น เราจึงเข้าใจทันทีว่า ทำไม จึงต้องซื้อเขามา เพราะเขาคือฟีร์มิโน่คนต่อไปของทีม อย่างไม่ต้องสงสัย

เราเชื่อเสมอมาว่า การซื้อนูเญชเข้ามาคือการที่คล็อปป์ต้องการใช้กองหน้าตัวเป้า แทนที่กองหน้าตัวหลอก ตัดบทบาทของกองหน้าตัวหลอกออกไป เราจึงคาดเดาว่า คล็อปป์จะเปลี่ยนแผนการเล่นมาเป็น 4-2-3-1 บ้าง 4-4-2 ในระบบหน้าคู่บ้าง และก็ไม่เกินคาดเพราะตลอดระยะเวลาช่วงหนึ่งคล็อปป์ก็พยายามปลุกปั้นระบบใหม่อยู่ เพราะมองว่าในระยะยาวคงยากที่จะหาใครมาแทนฟีร์มิโน่ได้ การเปลี้ยนระบบจึงต้องเกิดขึ้น

แต่การมาของกักโป ทำให้คล็อปป์ค้นพบ กองหน้าตัวหลอกคนใหม่ของทีม ตั้งแต่เกมแรกจนตอนนี้ กักโป เล่นในตำแหน่งนั้นมาตลอด เป็นเครื่องหมายยืนยันชัดเจนว่า  คล็อปป์ตั้งใจจะให้เป็นอย่างนั้น ทำให้ตัวนูเญช ต้องขยับไปเล่นด้านข้าง ซึ่งก็เป็นตำแหน่งถนัดของเขาอยู่แล้ว เมื่อคล็อปป์กลับมายืด 4-3-3 อีกครั้งความลงตัวจึงเกิดขึ้น นักเตะในทีมนี้เล่นฟุตบอลระบบนี้มาจนคุ้นเคย อะไร ๆ มันก็เลยไม่ต้องปรับเลย

การออกมาล่ำลาของฟีร์มีโน่ เองก็บอกเหตุผลชัดเจนเลยว่า เดิมทีเขาเองก็พิจารณาสัญญาใหม่กับทีมอยู่ แต่เมื่อเห็นกักโปเล่น เขาก็ตัดสินใจได้ทันทีว่า ช่วงเวลาของเขาหมดแล้ว และเขาต้องให้โอกาสนักเตะรุ่นใหม่ที่ทำผลงานได้ดีขึ้นมาสร้างทีมใหม่

หลายคนอาจจะคิดว่า อ้าว แล้วถ้าดิอาช กลับมาละ จะเอาไปไว้ตรงไหน ก็ต้องบอกว่าอย่าไปกังวลแทนเขา เมื่อคุณกลับมาก็ต้องแข่งขัน ถ้าคุณเก่งจริงก็จะชนะใจคล็อปป์ได้ สิ่งที่น่ากังวลกว่า ดิอาช กลับมาคือ แล้วถ้าซาลาห์ไม่อยู่ละ จะทำยังไงต่างหาก เพราะแนวรุกทางฝั่งซ้ายเรามีมาก แต่แนวรุกทางฝั่งขวา เรายังหาใครมาทดแทนซาลาห์ไม่ได้เลย นี่ต่างหากความท้าทายที่แท้จริง

โดยสรุปผมเชื่อว่าลิเวอร์พูลชุดที่เป็นอยู่ตอนนี้พ่านพ้นวิกฤตได้แล้ว และกำลังเดินหน้าโปรเจ็คสร้างทีมใหม่ของตัวเองอย่างแข็งแกร่ง